วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

การขยายพันธุ์

การแพร่พันธุ์ของปลาหางนกยูง                   
                ตามปกติปลาหางนกยูงจะสามารถแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนในบ่อเลี้ยงได้เป็นอย่างดี   โดยเฉพาะบ่อเลี้ยงที่มีพรรณไม้น้ำอยู่มาก   ทั้งนี้เนื่องจากปลาหางนกยูงเป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว   และสามารถแพร่พันธุ์ได้ดีเกือบตลอดปี   เมื่อปลาเติบโตเจริญวัยถึงขั้นสมบูรณ์เพศ   ปลาเพศผู้ก็จะเข้าผสมพันธุ์กับปลาเพศเมีย   โดยยื่นท่อส่งน้ำเชื้อเข้าไปทางช่องสืบพันธุ์ของเพศเมีย   แล้วปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปผสมกับไข่ในท้องของปลาเพศเมีย   ซึ่งเป็นการผสมพันธุ์ภายใน   จากนั้นไข่ก็จะมีการพัฒนาต่อไป   จนฟักออกเป็นตัวก็จะถูกปล่อยหรือคลอดออกจากแม่ปลา   ลูกปลาที่คลอดออกมาใหม่ๆจะมีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่   เมื่อเทียบกับลูกปลาที่ฟักออกจากไข่ที่เกิดจากการผสมภายนอก   และยังค่อนข้างมีความแข็งแรง   คือสามารถว่ายน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อหาที่หลบซ่อน   มิฉะนั้นจะถูกแม่ปลาหรือปลาตัวอื่นจับกินเป็นอาหาร   ผู้เลี้ยงปลาหางนกยูงทั่วไปจึงสามารถพบลูกปลาเกิดขึ้นในบ่อเลี้ยงได้  
  
ภาพ แสดงการคลอดลูกของแม่ปลาหางนกยูง
                                                  ที่มา : Frank (1971)
                    การเจริญเติบโตของปลาหางนกยูงจากเล็กจนโตเต็มวัย จะใช้เวลาประมาณ  2 - 3  เดือน  ปลาเพศเมียจะให้ลูกได้ครอกละประมาณ  30 - 90  ตัว   ขึ้นกับขนาดของปลา   คือ  ในช่วงแรกๆแม่ปลายังโตไม่เต็มที่จะให้ลูกครอกละประมาณ  30 - 40  ตัว   เมื่ออายุมากขึ้นขนาดใหญ่ขึ้นจะให้ลูกครอกละประมาณ  40 - 60  ตัว   และเมื่ออายุมากกว่า  1  ปี  จะให้ลูกครอกละประมาณ      50 - 90  ตัว   และหลังจากที่คลอดลูกแล้ว   จะสามารถให้ลูกครอกต่อไปได้อีกในเวลาประมาณ    25 - 35  วัน   แล้วแต่ขนาดของปลา   การถ่ายน้ำ   และอาหารที่ได้รับ   คือแม่ปลาขนาดเล็กจะให้ลูกครอกต่อไปเร็ว   การเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆก็ช่วยให้มีการตั้งท้องและตกลูกเร็วขึ้น   นอกจากนั้นการเลือกใช้อาหารที่ดี   และให้อาหารสม่ำเสมอก็ช่วยให้ปลาตกลูกเร็วขึ้นเช่นกัน
                                                                                                                 
การเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูง                  
                ถึงแม้ว่าปลาหางนกยูงจะแพร่พันธุ์ง่าย   และมีลูกปลาเกิดขึ้นได้ในบ่อเลี้ยงอยู่เสมอ   แต่ถ้าปล่อยให้แม่ปลาคลอดลูกเองภายในบ่อเลี้ยง   ในช่วงแรกลูกปลาอาจมีอัตรารอดสูง   แต่เมื่อมีจำนวนปลามากขึ้น   ลูกปลาในครอกต่อๆไปก็จะมีโอกาสรอดน้อยมาก   เพราะจะถูกปลาตัวอื่นๆไล่จับกิน   จากการทดลองพบว่าหากไม่มีการใส่พันธุ์ไม้น้ำ   หรือให้ที่หลบซ่อนสำหรับลูกปลาที่จะคลอดออกมา   ในบ่อเลี้ยงปลาหางนกยูงที่มีพ่อแม่ปลาอยู่หลายคู่   ลูกปลาจะมีโอกาสรอดน้อยมาก   ยิ่งถ้านำมาเลี้ยงในบ่อขนาดเล็กหรือภาชนะแคบๆ   ลูกปลาจะถูกไล่กินจนหมด   ถ้าเป็นบ่อขนาดใหญ่ลูกปลาจึงจะมีโอกาสรอดได้บ้าง   โดยจะเหลือรอดครอกละประมาณ  10 - 20  ตัว   ขึ้นกับจำนวนปลาที่มีอยู่ในบ่อ   ดังนั้นผู้ที่ต้องการดำเนินการเพาะปลาหางนกยูงเพื่อจำหน่ายอย่างจริงจัง   จำเป็นต้องมีการจัดการการเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูงที่ดี   ซึงดำเนินการได้หลายวิธีการ ดังนี้
                1 แยกเพาะในบ่อเพาะขนาดเล็ก   ใช้บ่อหรือภาชนะขนาดเล็กพื้นที่ประมาณ  1  ตารางฟุต   แยกเลี้ยงปลาบ่อละ  1  คู่   ไม่ควรเลี้ยงปลาเกิน  1  คู่  เพราะปลาเพศเมียจะค่อนข้างมีความดุร้าย   ในการไล่ล่าลูกปลาที่พึ่งคลอดจากแม่ปลาตัวอื่น   ใส่พันธุ์ไม้น้ำพวกสาหร่ายหรือจอกที่มีรากยาวๆลงในบ่อเพาะ   เพื่อเป็นที่หลบซ่อนของลูกปลา  เพราะเมื่อลูกปลาคลอดออกมาก็จะเข้าไปหลบซ่อนอยู่ตามสาหร่ายหรือรากของจอก   ช่วยให้รอดพ้นจากการถูกแม่ปลาจับกินได้   เป็นวิธีการเพาะที่ใช้ได้ผลดี   และจะสามารถคัดปลาหางนกยูงทั้งเพศผู้และเพศเมียที่มีลักษณะดีตามที่ต้องการมาผสมกันได้   จากนั้นคอยหมั่นแยกลูกปลาที่ได้ออกไปอนุบาล   ข้อเสียของวิธีนี้คือ  ต้องใช้พื้นที่มาก   และค่อนข้างใช้เวลาในการดูแล
                2 แยกเฉพาะแม่ปลาที่ท้องแก่ใกล้คลอดมาจากบ่อเลี้ยง   เป็นวิธีการที่เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาหางนกยูงจำนวนมากไว้ในบ่อเลี้ยง   แล้วหมั่นสังเกตหาปลาที่มีท้องแก่   จากนั้นจึงแยกเฉพาะแม่ปลาที่มีท้องแก่   คือมีท้องขยายใหญ่มากออกมาเพียงตัวเดียว   นำไปใส่ในภาชนะเล็กๆที่มีช่องตาให้ลูกปลาลอดออกไปได้   คล้ายกับเป็นห้องรอคลอดซึ่งมีผลิตออกมาจำหน่ายโดยเฉพาะ   แต่ค่อนข้างจะมีราคาแพง   ซึ่งอาจใช้ภาชนะอื่นทดแทนได้ เช่น ใช้ตะกร้าแขวนสำหรับใส่แปรงสีฟันในห้องน้ำ   โดยมักจะแขวนภาชนะนั้นจำนวนหลายอัน   ไว้ในตู้กระจกหรือในกะละมังใบเดียวกัน   แม่ปลาที่ถูกคัดออกมามักจะคลอดลูกภายใน 1 - 3  วัน   ยิ่งเมื่อดำเนินการไปนานๆ   แม่ปลาจะมีความเคยชิน   ก็มักจะคลอดลูกภายใน  1  วัน  หลังจากที่แยกมาปล่อยลงในที่สำหรับคลอด   ลูกปลาจะลอดช่องตาของภาชนะออกไปรวมกันในตู้หรือกะละมัง   แยกลูกปลาไปอนุบาลแล้วนำแม่ปลาไปเลี้ยงพักฟื้น  3  วันจึงปล่อยกลับลงบ่อเลี้ยง   จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีการที่ให้ผลดีที่สุด   เพราะลูกปลามีอัตราการรอดมากที่สุดและทำได้ค่อนข้างสะดวก   แต่อาจไม่เหมาะสมที่จะใช้กับฟาร์มผลิตขนาดใหญ่
     
  
ภาพ   ลักษณะของตะกร้าที่ใช้เป็นที่รอคลอด   และการวางตะกร้าในภาชนะขนาดเล็ก
       การแขวนตะกร้าหลายใบ     แม่ปลาก่อนคลอด     แม่ปลาหลังคลอด

 
ภาพ แสดงลูกปลาที่ลอดช่องตาของตะกร้าออกไปอยู่ภายนอก
                3 แยกเลี้ยงในภาชนะที่มีช่องตาขนาดที่ลูกปลาจะรอดออกไปได้   เป็นวิธีการที่คัดแยกพ่อแม่พันธุ์ปลาหางนกยูงจำนวนมากมาเลี้ยงในภาชนะที่มีช่องตาขนาดที่ลูกปลาจะรอดออกไปได้  แต่พ่อแม่ปลาจะไม่สามารถรอดออกไปได้   เป็นภาชนะขนาดปานกลาง   เช่น  กระชัง  ตะกร้า   หรือกระจาด   ซึ่งจะนำไปกางหรือวางในภาชนะหรือบ่ออีกทีหนึ่ง   กระชัง ตะกร้า หรือกระจาดนี้จะใช้เลี้ยงปลาได้ใบละ  5 - 7  คู่   ไปจนถึง 50 คู่ เมื่อแม่ปลาคลอด   ลูกปลาจะสามารถว่ายหนีผ่านช่องตะกร้าออกไปสู่ภายนอก   เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีเช่นกัน   ปลาที่เลี้ยงอยู่ในตะกร้าแต่ละใบจะให้ลูกสัปดาห์ละ  1  ครอกเป็นอย่างน้อย   ก็แยกลูกปลาออกไปอนุบาลได้   เป็นวิธีที่นิยมกระทำกันมากในฟาร์มที่ผลิตลูกปลาหางนกยูงเพื่อจำหน่าย  โดยใช้ตะแกรงพลาสติกทำเป็นกระชังขนาดประมาณ 0.5 - 1 ตารางเมตรวางในบ่อซิเมนต์  ปล่อยพ่อแม่พันธุ์ปลาหางนกยูงลงในกระชัง 20 - 30 คู่  ลูกปลาที่คลอดออกมาจะว่ายหนีออกจากกระชังได้ดี  ทำให้สามารถผลิลูกปลาได้ค่อนข้างมาก  ข้อเสียของวิธีนี้  คือ เศษอาหารมักจะลงไปตกค้างอยู่ก้นภาชนะมาก   ทำให้ปลาติดเชื้อได้ง่าย   ต้องหมั่นทำความสะอาด
  
 ภาพ  ลักษณะการเพาะปลาหางนกยูงในฟาร์มขนาดใหญ่์ 
                                             โดยเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ในกระชังที่กางในบ่อซิเมนต
การอนุบาลลูกปลาหางนกยูง                  
                ลูกปลาที่แยกออกมาจากบ่อเพาะหรือแม่ปลาที่คลอดแล้ว   นำมาเลี้ยงในภาชนะหรือบ่อขนาดปานกลาง   มีความจุประมาณ  30 - 100  ลิตร   ขึ้นกับจำนวนลูกปลา   แล้วเลี้ยงด้วยอาหารผง (อาหารอนุบาลลูกปลาดุก)โดยให้บริเวณผิวน้ำ   ลูกปลาจะสามารถกินอาหารผงได้เป็นอย่างดี   เพราะปลาหางนกยูงเป็นปลาที่กินอาหารได้ง่าย   หมั่นทำความสะอาดก้นบ่อและถ่ายน้ำเสมอๆเช่นเดียวกับบ่ออนุบาลลูกปลาทอง   เพื่อเร่งให้ลูกปลาเจริญเติบโตเร็ว   จะเลี้ยงด้วยอาหารผงประมาณ  15  วัน   ลูกปลาจะมีขนาดโตขึ้นจนสามารถนำไปปล่อยเลี้ยงรวมกับปลาขนาดใหญ่ในบ่อเลี้ยงได้อย่างปลอดภัย
                                                                                                                   
การเลี้ยงปลาหางนกยูง                 
                การเลี้ยงปลาหางนกยูงนับเป็นเรื่องง่ายมาก   ปลาหางนกยูงจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อ   หากผู้เลี้ยงหมั่นทำความสะอาดบ่อเลี้ยง   ไล่เศษอาหารที่ตกค้างออกจากบ่ออย่างสม่ำเสมอ   ซึ่งอาจกระทำทุก  2 - 3  วัน ต่อครั้งก็เป็นการเพียงพอ   สำหรับผู้เลี้ยงทั่วไปที่เลี้ยงปลาสวยงามเป็นงานอดิเรก   ควรใช้อาหารปลาสวยงามที่จำหน่ายตามร้านขายปลาสวยงาม   โดยไม่จำเป็นต้องเลือกอาหารเฉพาะเจาะจง   ซึ่งจะมีราคาไม่แพงมากนักก็จะใช้เลี้ยงปลาได้ดี   เพราะปลาหางนกยูงกินอาหารได้ง่ายและเจริญเติบโตได้ดี   โดยควรให้อาหารวันละ  2  ครั้ง  ในตอนเช้าและเย็น   ส่วนผู้ที่เลี้ยงปลาหางนกยูงเพื่อเพาะพันธุ์ปลาออกจำหน่าย   จำเป็นต้องเลี้ยงปลาเป็นจำนวนมาก   จะต้องพยายามลดต้นทุนการผลิต   อาจเลือกใช้อาหารเม็ดที่ใช้เลี้ยงปลาดุกเล็ก   ซึ่งมีราคาถูกและมีธาตุอาหารครบถ้วน   นำมาใช้สำหรับเลี้ยงปลาก็จะทำให้ปลาเจริญเติบโตได้อย่างดี   จะใช้เวลาเลี้ยงปลาประมาณ  45 - 60  วันก็สามารถส่งจำหน่ายได้
  
ภาพ ลักษณะการเลี้ยงปลาหางนกยูงในกระชังเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ในต่างประเทศ
   
ภาพ ลักษณะฟาร์มเลี้ยงปลาหางนกยูง่ในต่างประเทศ
                                              ที่มา : http://gwaquarium.com/Farm2.jpg  
                                                                                                                 
 ปัญหาการเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูง                    
                ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูง  คือ  ลูกปลาที่ได้มามีลักษณะไม่ตรงตามต้องการ   หรือมีลักษณะไม่เหมือนกับพ่อแม่พันธุ์ที่ใช้เพาะ   แต่มักจะมีลักษณะด้อยกว่าพ่อแม่ปลา   คือมีความสวยงามไม่เท่าพ่อแม่พันธุ์   ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ  คือ
                1 พ่อแม่พันธุ์ที่นำมาใช้เพาะอาจเป็นปลาครอกเดียวกัน   การนำปลาเลือดชิดมาผสมกัน   ลูกปลาที่ได้จะแสดงลักษณะด้อยออกมามากขึ้น   จึงทำให้ลูกปลามีลักษณะไม่สวยงามเท่าพ่อแม่พันธุ์
                2 ปลาเพศเมียที่คัดแยกมาเพาะอาจได้รับน้ำเชื้อจากปลาเพศผู้ตัวอื่นมาแล้ว   เพราะในขณะที่ปลาตั้งท้อง   ถึงแม้ว่าปลาจะได้รับการผสมพันธุ์จากเพศผู้แล้ว   แต่ปลาเพศผู้ตัวอื่นๆก็จะมาผสมกับแม่ปลาไปเรื่อยๆ   น้ำเชื้อที่ถูกส่งเข้ามาในรังไข่ใหม่นี้จะตกค้างและมีชีวิตอยู่ได้นาน   เมื่อปลาคลอดลูกออกไปแล้ว   ไข่ที่เจริญมาใหม่ก็จะถูกผสมโดยน้ำเชื้อที่ตกค้างอยู่เหล่านี้   ทำให้แม่ปลาดังกล่าวไม่ได้รับการผสมกับปลาเพศผู้ที่คัดมา   ดังนั้นเมื่อแม่ปลาคลอดลูกแล้วอาจต้องเลี้ยงแยกไว้   ปล่อยให้คลอดลูกอีกครอกซะก่อน   จึงค่อยนำไปผสมกับปลาเพศผู้ที่คัดไว้
                   3 ขาดการดูแล   ลูกปลาที่เกิดขึ้นได้รับการดูแลเอาใจใส่ไม่ดีพอ   อาจได้รับอาหารไม่สมบูรณ์หรือไม่เพียงพอ   ก็จะทำให้ปลามีความแคระแกรนรูปทรงไม่สวยงามได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น