ตามปกติปลาหางนกยูงจะสามารถแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนในบ่อเลี้ยงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะบ่อเลี้ยงที่มีพรรณไม้น้ำอยู่มาก ทั้งนี้เนื่องจากปลาหางนกยูงเป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว และสามารถแพร่พันธุ์ได้ดีเกือบตลอดปี เมื่อปลาเติบโตเจริญวัยถึงขั้นสมบูรณ์เพศ ปลาเพศผู้ก็จะเข้าผสมพันธุ์กับปลาเพศเมีย โดยยื่นท่อส่งน้ำเชื้อเข้าไปทางช่องสืบพันธุ์ของเพศเมีย แล้วปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปผสมกับไข่ในท้องของปลาเพศเมีย ซึ่งเป็นการผสมพันธุ์ภายใน จากนั้นไข่ก็จะมีการพัฒนาต่อไป จนฟักออกเป็นตัวก็จะถูกปล่อยหรือคลอดออกจากแม่ปลา ลูกปลาที่คลอดออกมาใหม่ๆจะมีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ เมื่อเทียบกับลูกปลาที่ฟักออกจากไข่ที่เกิดจากการผสมภายนอก และยังค่อนข้างมีความแข็งแรง คือสามารถว่ายน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อหาที่หลบซ่อน มิฉะนั้นจะถูกแม่ปลาหรือปลาตัวอื่นจับกินเป็นอาหาร ผู้เลี้ยงปลาหางนกยูงทั่วไปจึงสามารถพบลูกปลาเกิดขึ้นในบ่อเลี้ยงได้
ภาพ แสดงการคลอดลูกของแม่ปลาหางนกยูง
ที่มา : Frank (1971)
การเจริญเติบโตของปลาหางนกยูงจากเล็กจนโตเต็มวัย จะใช้เวลาประมาณ 2 - 3 เดือน ปลาเพศเมียจะให้ลูกได้ครอกละประมาณ 30 - 90 ตัว ขึ้นกับขนาดของปลา คือ ในช่วงแรกๆแม่ปลายังโตไม่เต็มที่จะให้ลูกครอกละประมาณ 30 - 40 ตัว เมื่ออายุมากขึ้นขนาดใหญ่ขึ้นจะให้ลูกครอกละประมาณ 40 - 60 ตัว และเมื่ออายุมากกว่า 1 ปี จะให้ลูกครอกละประมาณ 50 - 90 ตัว และหลังจากที่คลอดลูกแล้ว จะสามารถให้ลูกครอกต่อไปได้อีกในเวลาประมาณ 25 - 35 วัน แล้วแต่ขนาดของปลา การถ่ายน้ำ และอาหารที่ได้รับ คือแม่ปลาขนาดเล็กจะให้ลูกครอกต่อไปเร็ว การเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆก็ช่วยให้มีการตั้งท้องและตกลูกเร็วขึ้น นอกจากนั้นการเลือกใช้อาหารที่ดี และให้อาหารสม่ำเสมอก็ช่วยให้ปลาตกลูกเร็วขึ้นเช่นกัน
ถึงแม้ว่าปลาหางนกยูงจะแพร่พันธุ์ง่าย และมีลูกปลาเกิดขึ้นได้ในบ่อเลี้ยงอยู่เสมอ แต่ถ้าปล่อยให้แม่ปลาคลอดลูกเองภายในบ่อเลี้ยง ในช่วงแรกลูกปลาอาจมีอัตรารอดสูง แต่เมื่อมีจำนวนปลามากขึ้น ลูกปลาในครอกต่อๆไปก็จะมีโอกาสรอดน้อยมาก เพราะจะถูกปลาตัวอื่นๆไล่จับกิน จากการทดลองพบว่าหากไม่มีการใส่พันธุ์ไม้น้ำ หรือให้ที่หลบซ่อนสำหรับลูกปลาที่จะคลอดออกมา ในบ่อเลี้ยงปลาหางนกยูงที่มีพ่อแม่ปลาอยู่หลายคู่ ลูกปลาจะมีโอกาสรอดน้อยมาก ยิ่งถ้านำมาเลี้ยงในบ่อขนาดเล็กหรือภาชนะแคบๆ ลูกปลาจะถูกไล่กินจนหมด ถ้าเป็นบ่อขนาดใหญ่ลูกปลาจึงจะมีโอกาสรอดได้บ้าง โดยจะเหลือรอดครอกละประมาณ 10 - 20 ตัว ขึ้นกับจำนวนปลาที่มีอยู่ในบ่อ ดังนั้นผู้ที่ต้องการดำเนินการเพาะปลาหางนกยูงเพื่อจำหน่ายอย่างจริงจัง จำเป็นต้องมีการจัดการการเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูงที่ดี ซึงดำเนินการได้หลายวิธีการ ดังนี้
1 แยกเพาะในบ่อเพาะขนาดเล็ก ใช้บ่อหรือภาชนะขนาดเล็กพื้นที่ประมาณ 1 ตารางฟุต แยกเลี้ยงปลาบ่อละ 1 คู่ ไม่ควรเลี้ยงปลาเกิน 1 คู่ เพราะปลาเพศเมียจะค่อนข้างมีความดุร้าย ในการไล่ล่าลูกปลาที่พึ่งคลอดจากแม่ปลาตัวอื่น ใส่พันธุ์ไม้น้ำพวกสาหร่ายหรือจอกที่มีรากยาวๆลงในบ่อเพาะ เพื่อเป็นที่หลบซ่อนของลูกปลา เพราะเมื่อลูกปลาคลอดออกมาก็จะเข้าไปหลบซ่อนอยู่ตามสาหร่ายหรือรากของจอก ช่วยให้รอดพ้นจากการถูกแม่ปลาจับกินได้ เป็นวิธีการเพาะที่ใช้ได้ผลดี และจะสามารถคัดปลาหางนกยูงทั้งเพศผู้และเพศเมียที่มีลักษณะดีตามที่ต้องการมาผสมกันได้ จากนั้นคอยหมั่นแยกลูกปลาที่ได้ออกไปอนุบาล ข้อเสียของวิธีนี้คือ ต้องใช้พื้นที่มาก และค่อนข้างใช้เวลาในการดูแล
2 แยกเฉพาะแม่ปลาที่ท้องแก่ใกล้คลอดมาจากบ่อเลี้ยง เป็นวิธีการที่เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาหางนกยูงจำนวนมากไว้ในบ่อเลี้ยง แล้วหมั่นสังเกตหาปลาที่มีท้องแก่ จากนั้นจึงแยกเฉพาะแม่ปลาที่มีท้องแก่ คือมีท้องขยายใหญ่มากออกมาเพียงตัวเดียว นำไปใส่ในภาชนะเล็กๆที่มีช่องตาให้ลูกปลาลอดออกไปได้ คล้ายกับเป็นห้องรอคลอดซึ่งมีผลิตออกมาจำหน่ายโดยเฉพาะ แต่ค่อนข้างจะมีราคาแพง ซึ่งอาจใช้ภาชนะอื่นทดแทนได้ เช่น ใช้ตะกร้าแขวนสำหรับใส่แปรงสีฟันในห้องน้ำ โดยมักจะแขวนภาชนะนั้นจำนวนหลายอัน ไว้ในตู้กระจกหรือในกะละมังใบเดียวกัน แม่ปลาที่ถูกคัดออกมามักจะคลอดลูกภายใน 1 - 3 วัน ยิ่งเมื่อดำเนินการไปนานๆ แม่ปลาจะมีความเคยชิน ก็มักจะคลอดลูกภายใน 1 วัน หลังจากที่แยกมาปล่อยลงในที่สำหรับคลอด ลูกปลาจะลอดช่องตาของภาชนะออกไปรวมกันในตู้หรือกะละมัง แยกลูกปลาไปอนุบาลแล้วนำแม่ปลาไปเลี้ยงพักฟื้น 3 วันจึงปล่อยกลับลงบ่อเลี้ยง จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีการที่ให้ผลดีที่สุด เพราะลูกปลามีอัตราการรอดมากที่สุดและทำได้ค่อนข้างสะดวก แต่อาจไม่เหมาะสมที่จะใช้กับฟาร์มผลิตขนาดใหญ่
ก ข
ค ง
ภาพ ก ลักษณะของตะกร้าที่ใช้เป็นที่รอคลอด และการวางตะกร้าในภาชนะขนาดเล็ก
ข การแขวนตะกร้าหลายใบ ค แม่ปลาก่อนคลอด ง แม่ปลาหลังคลอด
ภาพ แสดงลูกปลาที่ลอดช่องตาของตะกร้าออกไปอยู่ภายนอก
3 แยกเลี้ยงในภาชนะที่มีช่องตาขนาดที่ลูกปลาจะรอดออกไปได้ เป็นวิธีการที่คัดแยกพ่อแม่พันธุ์ปลาหางนกยูงจำนวนมากมาเลี้ยงในภาชนะที่มีช่องตาขนาดที่ลูกปลาจะรอดออกไปได้ แต่พ่อแม่ปลาจะไม่สามารถรอดออกไปได้ เป็นภาชนะขนาดปานกลาง เช่น กระชัง ตะกร้า หรือกระจาด ซึ่งจะนำไปกางหรือวางในภาชนะหรือบ่ออีกทีหนึ่ง กระชัง ตะกร้า หรือกระจาดนี้จะใช้เลี้ยงปลาได้ใบละ 5 - 7 คู่ ไปจนถึง 50 คู่ เมื่อแม่ปลาคลอด ลูกปลาจะสามารถว่ายหนีผ่านช่องตะกร้าออกไปสู่ภายนอก เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีเช่นกัน ปลาที่เลี้ยงอยู่ในตะกร้าแต่ละใบจะให้ลูกสัปดาห์ละ 1 ครอกเป็นอย่างน้อย ก็แยกลูกปลาออกไปอนุบาลได้ เป็นวิธีที่นิยมกระทำกันมากในฟาร์มที่ผลิตลูกปลาหางนกยูงเพื่อจำหน่าย โดยใช้ตะแกรงพลาสติกทำเป็นกระชังขนาดประมาณ 0.5 - 1 ตารางเมตรวางในบ่อซิเมนต์ ปล่อยพ่อแม่พันธุ์ปลาหางนกยูงลงในกระชัง 20 - 30 คู่ ลูกปลาที่คลอดออกมาจะว่ายหนีออกจากกระชังได้ดี ทำให้สามารถผลิลูกปลาได้ค่อนข้างมาก ข้อเสียของวิธีนี้ คือ เศษอาหารมักจะลงไปตกค้างอยู่ก้นภาชนะมาก ทำให้ปลาติดเชื้อได้ง่าย ต้องหมั่นทำความสะอาด
ภาพ ลักษณะการเพาะปลาหางนกยูงในฟาร์มขนาดใหญ่์
โดยเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ในกระชังที่กางในบ่อซิเมนต
ลูกปลาที่แยกออกมาจากบ่อเพาะหรือแม่ปลาที่คลอดแล้ว นำมาเลี้ยงในภาชนะหรือบ่อขนาดปานกลาง มีความจุประมาณ 30 - 100 ลิตร ขึ้นกับจำนวนลูกปลา แล้วเลี้ยงด้วยอาหารผง (อาหารอนุบาลลูกปลาดุก)โดยให้บริเวณผิวน้ำ ลูกปลาจะสามารถกินอาหารผงได้เป็นอย่างดี เพราะปลาหางนกยูงเป็นปลาที่กินอาหารได้ง่าย หมั่นทำความสะอาดก้นบ่อและถ่ายน้ำเสมอๆเช่นเดียวกับบ่ออนุบาลลูกปลาทอง เพื่อเร่งให้ลูกปลาเจริญเติบโตเร็ว จะเลี้ยงด้วยอาหารผงประมาณ 15 วัน ลูกปลาจะมีขนาดโตขึ้นจนสามารถนำไปปล่อยเลี้ยงรวมกับปลาขนาดใหญ่ในบ่อเลี้ยงได้อย่างปลอดภัย
การเลี้ยงปลาหางนกยูงนับเป็นเรื่องง่ายมาก ปลาหางนกยูงจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อ หากผู้เลี้ยงหมั่นทำความสะอาดบ่อเลี้ยง ไล่เศษอาหารที่ตกค้างออกจากบ่ออย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจกระทำทุก 2 - 3 วัน ต่อครั้งก็เป็นการเพียงพอ สำหรับผู้เลี้ยงทั่วไปที่เลี้ยงปลาสวยงามเป็นงานอดิเรก ควรใช้อาหารปลาสวยงามที่จำหน่ายตามร้านขายปลาสวยงาม โดยไม่จำเป็นต้องเลือกอาหารเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะมีราคาไม่แพงมากนักก็จะใช้เลี้ยงปลาได้ดี เพราะปลาหางนกยูงกินอาหารได้ง่ายและเจริญเติบโตได้ดี โดยควรให้อาหารวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและเย็น ส่วนผู้ที่เลี้ยงปลาหางนกยูงเพื่อเพาะพันธุ์ปลาออกจำหน่าย จำเป็นต้องเลี้ยงปลาเป็นจำนวนมาก จะต้องพยายามลดต้นทุนการผลิต อาจเลือกใช้อาหารเม็ดที่ใช้เลี้ยงปลาดุกเล็ก ซึ่งมีราคาถูกและมีธาตุอาหารครบถ้วน นำมาใช้สำหรับเลี้ยงปลาก็จะทำให้ปลาเจริญเติบโตได้อย่างดี จะใช้เวลาเลี้ยงปลาประมาณ 45 - 60 วันก็สามารถส่งจำหน่ายได้
ภาพ ลักษณะการเลี้ยงปลาหางนกยูงในกระชังเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ในต่างประเทศ
ภาพ ลักษณะฟาร์มเลี้ยงปลาหางนกยูง่ในต่างประเทศ
ที่มา : http://gwaquarium.com/Farm2.jpg
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูง คือ ลูกปลาที่ได้มามีลักษณะไม่ตรงตามต้องการ หรือมีลักษณะไม่เหมือนกับพ่อแม่พันธุ์ที่ใช้เพาะ แต่มักจะมีลักษณะด้อยกว่าพ่อแม่ปลา คือมีความสวยงามไม่เท่าพ่อแม่พันธุ์ ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ คือ
1 พ่อแม่พันธุ์ที่นำมาใช้เพาะอาจเป็นปลาครอกเดียวกัน การนำปลาเลือดชิดมาผสมกัน ลูกปลาที่ได้จะแสดงลักษณะด้อยออกมามากขึ้น จึงทำให้ลูกปลามีลักษณะไม่สวยงามเท่าพ่อแม่พันธุ์
2 ปลาเพศเมียที่คัดแยกมาเพาะอาจได้รับน้ำเชื้อจากปลาเพศผู้ตัวอื่นมาแล้ว เพราะในขณะที่ปลาตั้งท้อง ถึงแม้ว่าปลาจะได้รับการผสมพันธุ์จากเพศผู้แล้ว แต่ปลาเพศผู้ตัวอื่นๆก็จะมาผสมกับแม่ปลาไปเรื่อยๆ น้ำเชื้อที่ถูกส่งเข้ามาในรังไข่ใหม่นี้จะตกค้างและมีชีวิตอยู่ได้นาน เมื่อปลาคลอดลูกออกไปแล้ว ไข่ที่เจริญมาใหม่ก็จะถูกผสมโดยน้ำเชื้อที่ตกค้างอยู่เหล่านี้ ทำให้แม่ปลาดังกล่าวไม่ได้รับการผสมกับปลาเพศผู้ที่คัดมา ดังนั้นเมื่อแม่ปลาคลอดลูกแล้วอาจต้องเลี้ยงแยกไว้ ปล่อยให้คลอดลูกอีกครอกซะก่อน จึงค่อยนำไปผสมกับปลาเพศผู้ที่คัดไว้
3 ขาดการดูแล ลูกปลาที่เกิดขึ้นได้รับการดูแลเอาใจใส่ไม่ดีพอ อาจได้รับอาหารไม่สมบูรณ์หรือไม่เพียงพอ ก็จะทำให้ปลามีความแคระแกรนรูปทรงไม่สวยงามได้